3. ค่าจ้างแรงงาน |
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าสตรีไทยมีโอกาสในการจ้างงาน และมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น แต่เมื่อ พิจารณาถึงค่าจ้างระหว่างหญิง และชายแล้ว พบว่าอัตราค่าจ้างเฉลี่ยต่อเดือนของลูกจ้าง นอกภาคการเกษตรระหว่างหญิง และชายมีความแตกต่าง และมีความเหลื่อมล้ำกันอยู่ จากตารางแสดงจำนวนผู้ประกันตน จำแนกตามค่าจ้างและเพศของสำนักงานประกันสังคม (2548) พบว่า ลูกจ้างชายมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนสูงกว่า ลูกจ้างสตรี โดยเฉพาะในช่วง รายได้สูงกว่าหนึ่งหมื่นบาทขึ้นไป สตรีมีจำนวนน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด |
อย่างไรก็ตามความแตกต่างของรายได้ของทั้งลูกจ้างชายและหญิงค่อย ๆ ลงลดลงเป็นลำดับ จากปี 2541 ค่าจ้างเฉลี่ย ต่อเดือนของชายและหญิงมีความแตกต่างเฉลี่ยร้อยละ 12.37 และลดลงเหลือร้อยละ 4.71 ในปี 2549 |
4. แรงงานสตรีนอกระบบ |
จากการสำรวจการทำงานของประชากรปี 2548 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ยังมีสตรีอีกจำนวนหนึ่งที่เป็นแรงงานสำคัญ แต่เป็นแรงงานนอกระบบ ซึ่งยังเข้าไม่ถึง สวัสดิการและการได้รับความคุ้มครอง จากพระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ.2540 ในจำนวน แรงงานนอกระบบทั้งหมด มีสตรีเป็นแรงงานนอกระบบถึงร้อยละ 46.8 โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบ ในการเป็นลูกจ้างในครัวเรือนส่วนบุคคล เป็นสตรีถึงร้อยละ 92.9 งานบริการและพนักงานในร้านค้าและตลาด ร้อยละ 68.47 การผลิตอื่น ๆ ร้อยละ 57.7 การเกษตรกรรม ร้อยละ 45.3 นอกจากนี้การรับงานมาทำที่บ้านจัดว่าเป็นเศรษฐกิจนอกระบบอีกประเภทหนึ่ง ที่มีแรงงานเป็นสตรีจำนวนมาก ซึ่งสำนักงานสถิติได้จัดทำโครงการสำรวจการรับงาน มาทำที่บ้าน พศ.2548 พบว่ามีผู้รับงานมาทำที่บ้านทั้งหมด 549,803 คน ส่วนใหญ่เป็นหญิง ร้อยละ 76.3 เป็นชายร้อยละ 23.7 |
|
|
แรงงานนอกระบบเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วเป็นแรงงานสตรีที่ไม่มีหลักประกันทางสังคม และการดำรงชีวิต ถึงแม้ว่า กระทรวง แรงงานได้มีการ ออกกฎกระทรวงแรงงานว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานในงานที่รับไปทำที่บ้าน พ.ศ.2547 เพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิ ของผู้รับงานไปทำที่บ้าน ในเรื่องการจ่าย ค่าตอบแทน แต่ยังไม่ได้รับความคุ้มครอง สิทธิ แรงงาน และความปลอดภัยอื่น ๆ ซึ่งเป็น ประเด็นสำคัญที่สตรีกลุ่มนี้ ควรได้รับการสนับสนุน ต่อไป |
4.1 ระดับการศึกษาของแรงงานไทย |
สำนักงานสถิติแห่งชาติได้ทำการสำรวจการมีงานทำของประชากร พ.ศ.2547 พบว่ แรงงานไทยทั้งชายและหญิงมีการศึกษา เฉลี่ยประมาณ 6 - 7 ปี ซึ่งเป็นแรงงานที่มีการศึกษาน้อย โดยเฉพาะแรงงานหญิงมีการศึกษา เฉลี่ยต่ำกว่าชาย อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก การพัฒนาระบบการศึกษาของประเทศ จะส่งผลให้การศึกษา ของแรงงานไทย มีแนวโน้มสูงขึ้นต่อไป |
4.2 กลไกที่เอื้อต่อการทำงานของสตรี |
ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น สตรีไทยนอกจากจะเป็นแรงงานสำคัญและมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจ ของครอบครัว และประเทศแล้ว สตรีไทยยังคงต้องรับหน้าที่สำคัญต่อการพัฒนาครอบครัว ความสำคัญของการเป็นเพศแม่ และบทบาทสำคัญของการ เป็นแม่ที่ต้องเลี้ยงดูบุตร โดยเฉพาะการดูแลบุตรเล็ก ๆ ทั้งภาระการงานทาง เศรษฐกิจ และครอบครัวนี้เป็นสิ่งกดดันต่อสุขภาพของสตรี ดังนั้นเพื่อช่วยลดภาระและความกดดัน ในการทำงานให้สตรี รัฐควรสร้างกลไกที่เอื้อต่อการทำงานของสตรีไทย ดังนี้ |
1. การมีมาตรการอย่างจริงจังใน การสร้างกลไกและสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อสตรี สามารถให้นมบุตร ที่อยู่ในระยะการให้นม และการเลี้ยงดูบุตรในช่วงอายุ 3 ปีแรก |
2. การมีมาตรการยืดหยุ่นในการเข้าทำงานของสตรีให้สอดคล้องกับการต้องรับภาระในการเลี้ยงดูบุตร |
|