สตรีกับสิทธิอนามัยเจริญพันธุ์ |
สุขภาพของสตรีนั้น หมายถึงสุขภาพทางเพศ การตัดสินใจการเลือกสมรสอนามัย การเจริญพันธ์ ซึ่งเกี่ยวข้อง กับระบบมดลูก การตั้งครรภ์ การคลอด การติดเชื้อระบบสืบพันธ์ |
|
ปัจจุบัน จากการพัฒนาประเทศและการรับกระแสโลกาภิวัฒน์ สตรีไทย มีโอกาสและมีสิทธิที่จะใช้ วิถีชีวิต ตนเองมากขึ้นจากสำมะโนประชากร และการเคหะ พ.ศ.2533 และ พ.ศ.2543 พบว่าประชาชนไทยมีการสมรส ช้าลง ทั้งผู้ชายและผู้หญิงสำหรับผู้หญิงในปี 2533 มีอายุเฉลี่ยแรกสมรสที่ 23.9 ปี และมากขึ้นเป็น 24.3 ปี ในปี 2543 สตรีมีโอกาสในการเลือกคู่ครองได้ด้วยตนเองถึงร้อยละ 82.2เลือกที่จะกำหนดการมีบุตร และการสมรสได้ ด้วยตนเอง ทั้งนี้โดยพบว่าผู้หญิงไทยเลือกที่จะอยู่เป็นโสด เพิ่มขึ้น (สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว : 2548) |
|
จากการพัฒนาและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ และการขยายระดับคุณภาพทางการบริการสาธารณสุข อย่างต่อเนื่องและทั่วถึง รวมทั้งการประกันสุขภาพถ้วนหน้า การประกันสังคมทำให้สตรีไทยมีสุขภาวะ โดยรวมดีขึ้น สตรีมีอายุขัยยืนยาวกว่าชาย ซึ่งจากการคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พบว่า สตรีไทยมีอายุขัย เฉลี่ย 73.0 ปี และผู้ชายมีอายุขัยเฉลี่ย 68.8 ปี สตรีไทยส่วนใหญ่มีสิทธิ และได้เข้าถึงบริการทางการแพทย์ ตลอดจนได้รับการดูแลดีขึ้น |
อัตราการตายของมารดาและทารกลดลง เนื่องมาจากสตรีตั้งครรภ์ส่วนใหญ่ร้อยละ 92.2 มีการฝากครรภ์ และคลอดกับเจ้าหน้าที่ ทางการแพทย์ครั้งทั้ง 4 ครั้งตามเกณฑ์ รวมทั้งมีการตรวจครรภ์หลังคลอดครบ 2 ครั้ง ตามเกณฑ์ ส่งผลให้อัตราการตายของมารดาหลังคลอดลดลง เหลือเพียง 12.9 คนต่อการเกิด 1,000 คน ในปี 2544 |
|
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสตรีไทยจะได้รับบริการสุขภาพอย่างดี แต่ยังเป็น ที่น่าสังเกตว่า ปัญหาที่สตรีไทยยัง ประสบอยู่ได้แก่ การมีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์ โดยกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าสตรีมีการติดเชื้อเอดส์ เพิ่มขึ้น ทำให้มีโอกาสแพร่เชื้อจากมารดาสู่ลูกเพิ่มมากขึ้นด้วย โดยปัจจุบันการติดเชื้อจากมารดาสู่ลูกถือเป็นปัจจัยเสี่ยง อันดับสองของปัจจัยเสี่ยงทั้งหมด นอกจากนี้รายงานของสำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุข ปี 2548 ระบุว่า ในกลุ่มวัยรุ่นอายุ 15 - 19 ปี มีสตรีเป็นเอดส์มากกว่าชาย คือมีสตรีเป็นเอดส์ร้อยละ 55 โดยพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ ของนักเรียนระดับมัธยมที่ศึกษาในปี 2547 มีนักเรียนชาย ที่มีเพศสัมพันธ์มีอัตราการใช้ถึงยางอนามัย เพียงร้อยละ 23.3 เท่านั้น ซึ่งส่งผลต่อการที่สตรีวัยรุ่นเกิดการตั้งครรภ์ไม่พร้อม การขาดความรู้ในการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย |
|
ในส่วนการวางแผนครอบครัว พบว่าสตรีส่วนใหญ่ยังคงเป็นผู้แบกรับภาระในการคุมกำเนิด โดยใช้วิธีการกินยาคุมกำเนิดมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 26.8 ของวิธีการคุมกำเนิดทั้งหมด รองลงมาเป็นการทำหมันหญิงร้อยละ 22.6 ซึ่งวิธีการเหล่านี้ อาจมีผลข้างเคียงต่อสตรีได้ การคุมกำเนิดของฝ่ายชาย มีเพียงร้อยละ 1.2 เท่านั้น และจากการมี เพศสัมพันธ์ โดยการไม่คุมกำเนิดเหล่านี้เป็นผลให้เกิดการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ ปัญหาต่อมาที่สตรีไทย ยังต้อง แบกรับคือการตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ (การทำแท้ง) ซึ่งเป็นปัญหาที่สตรียังคงต้องรับภาระนี้แต่เพียงผู้เดียว ทั้งในด้านความเสี่ยงต่ออันตรายต่อชีวิต และการถูกหยามเหยียดประณาม นับว่ายังคงเป็นปัญหาของความเหลื่อมล้ำทางสังคม ระหว่างหญิงชายในสังคมไทยอย่างเห็นได้ชัดอยู่ |
|