สตรีกับความรุนแรง |
สถานการณ์ความรุนแรงในประเทศไทย นับว่ายังเป็นปัญหาสำคัญ และส่งผลกับสตรี และเด็กเป็นวงกว้าง และเกิดขึ้นในหลายรูปแบบ ทั้งความรุนแรงในครอบครัว ในสถานศึกษา สถานที่ทำงาน และสถานการณ์ในสังคมทั่วไป รวมถึงความรุนแรง ที่กำลังเกิดขึ้นในกลุ่มวัยรุ่น นอกจากนี้ความรุนแรงต่อสตรีและเด็ก ยังเกิดในลักษณะของการค้ามนุษย์ การข่มขืนกระทำชำเรา การคุกคามทางเพศ การบังคับการค้าประเวณี อันเนื่องมาจากการนำเสนอภาพลักษณ์ ของผู้หญิง ในทางลบ ของสื่อต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ ป็นการสื่อในเรื่องทางเพศ (Sex object) ข้อมูลจากการประชุมการปราบปรามการกระทำผิดต่อเด็กระดับนานาชาติ 26 ประเทศทั่วโลก ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสในเดือนกันยายน 2549 ประเทศไทยถูกจัดอันดับเป็นประเทศ ที่เผยแพร่ภาพลามก |
|
|
อนาจารของเด็กและสตรีผ่านเว็บไซต์ เป็นอันดับที่ 5 ของโลก (จากการสำรวจของสถาบันจัดลำดับอินเตอร์เน็ต ที่น่าเชื่อถือ ที่รู้จักกันในนาม Internet Watch Foundation) โดยมีประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับ 1 51.1% อันดับที่ 2 รัสเซีย 14.9% อันดับที่ 3 ญี่ปุ่น 14.9% อันดับ 4 สเปน 8.8% อันดับ 5 ไทย 3.6% อันดับ 6 เกาหลี 2.16 % อันดับ 7 อังกฤษ 0.2% ประเทศอื่น ๆ อีก 7.5% (มติชน วันที่ 4 ตุลาคม 2549) |
นอกจากนี้ยังรวมถึงปัญหาความรุนแรงอันเกิดจากสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ สถานการณ์ความรุนแรงดังกล่าว สตรีและเด็กทั้งชาวพุทธ
และอิสลามต่างได้รับผลกระทบจากความรุนแรง อันส่งผลถึงการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ทรัพย์สิน สุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ การละเมิดสิทธิรวมทั้งการตกเป็นเหยื่อของการก่อการร้าย ซึ่งได้รับผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม ทั้งทางร่างกายและบาดแผลทางจิตใจ |
สำหรับในปี 2549 ข้อมูลจากโรงพยาบาลจำนวน 91 แห่ง ในสังกัดกรมอนามัย กรมการแพทย์ กระทรวงกลาโหม และ โรงพยาบาลในสังกัด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีจำนวนผู้ขอรับบริการทั้งสิ้นจำนวน 14,382 ราย จำแนกเป็นเด็กอายุระหว่างแรกเกิดถึง 18 ปี จำนวน 7,164 ราย คิดเป็นร้อยละ 50.19 ซึ่งผู้กระทำส่วนใหญ่เป็นคนที่รู้จักและมีความใกล้ชิด โดยสามีเป็นผู้ กระทำร้อยละ 26.26 สมาชิกในครอบครัวร้อยละ 14.27 พ่อ/แม่ และพ่อเลี้ยง และแม่เลี้ยงร้อยละ 3.30 และ 2.11 ตามลำดับ |
สาเหตุของความรุนแรง |
สาเหตุของการกระทำความรุนแรงต่อสตรีและเด็กร้อยละ 28.79 เกิดจากสาเหตุการเมาสุรา และติดสารเสพติด การนอกใจ หึงหวง และทะเลาะวิวาทร้อยละ 24.04 และกฎหมายบางเรื่องยังเปิดช่องว่าง ให้มีการกระทำรุนแรงในครอบครัว เช่น กฎหมายอาญา มาตรา 276 ใช้ถ้อยคำว่า "ผู้ใดข่มขืนหญิงซึ่งมิใช่ภรรยาของตน" มีผลให้สามีข่มขืนภรรยาได้โดยไม่มีความผิด |
2. ความรุนแรงในโรงเรียนและสถาบันการศึกษา |
|
ผลวิจัยของโครงการติดตามสภาวการณ์เด็กและเยาวชนรายจังหวัด (Child Watch) ที่ทำการสำรวจในกลุ่มเด็กเยาวชน 150,000 คนทั่วประเทศ พบว่าเด็กนักเรียนในระดับมัธยมศึกษา และอาชีวศึกษาทั้งในระดับ ทั้งในระดับ ปวช. และ ปวส. ตกอยู่ในวัฎจักร ของการใช้ความรุนแรง การใช้กำลังกันระหว่างเพื่อนนักเรียนด้วยกัน ประมาณ 1 ใน 10 หรือประมาณ 700,000 คน จากจำนวนนักเรียนในระดับมัธยม ศึกษา ปวช. และ ปวส. ผลวิจัยดังกล่าวชี้ว่า ปัญหาความรุนแรงในโรงเรียนไม่ใช่ ปัญหาใหม่ ของสังคมไทย แต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมานานแล้ว และมีแนวโน้ม เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเด็กและเยาวชนนั้น สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งมาจากประสบการณ์ ความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งเด็กได้รับการถ่ายทอดประสบการณ์เหล่านั้นความเจ็บปวด จากการแตกร้าวของครอบครัว การหย่าร้างของบิดามารดารวมทั้งการนำเสนอของสื่อต่าง ๆ ที่แสดงออกถึงความรุนแรงทั้งรูป ของการละเล่น (games) ภาพยนตร์ ข่าว และภาษาที่ใช้ทั้งการใช้คำพูด หรือภาษาหนังสือ |
|
3. เหตุการณ์ความขัดแย้งที่มีการใช้อาวุธ การทำร้าย การฆาตกรรม การก่อการร้าย การลงทัณฑ์ ทรมาน ข่มขืน การละเมิดทางเพศ การละเมิดสิทธิ และการก่อเหตุไม่สงบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เป็นการละเมิดหลักการพื้นฐาน ของกฎหมายสิทธิมนุษยชน และมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งการละเมิดสิทธิดังกล่าวส่งผลกระทบต่อทั้งผู้หญิงและผู้ชายในรูปแบบแตกต่างกัน ความรุนแรงดังกล่าว ก่อให้เกิดความเดือดร้อนจากการสูญเสียทรัพย์สินบ้านช่อง และญาติพี่น้อง ในบางครั้งเป็นการซ้ำเติมปัญหาสตรี และเด็กผู้หญิง ซึ่งเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยเฉพาะครอบครัวยากจน หรือครอบครัวที่มีสตรีรับหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ต้องรับภาระอบรมเลี้ยงดูลูก รวมทั้งประกอบอาชีพ เพื่อให้มีรายได้เพียงพอ กับค่าใช้จ่ายในครอบครัวทำให้สตรีเหล่านี้ต้องตกอยู่ในสภาพที่แย่ไปกว่าเดิม ซึ่งปัญหาเหล่านี้มีผลต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต ของสมาชิกในครอบครัว และบางครอบครัวไม่สามารถประกอบอาชีพอย่างที่เคยทำมาได้ มีผลทำให้ครอบครัวที่ทุกข์ยากอยู่แล้ว มีความลำบากยากจนยิ่งขึ้นไปอีก |
นอกจากนี้แล้วความขัดแย้ง ที่มีการใช้อาวุธยังมีผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม การสร้างบาดแผลทางจิตใจ ซึ่งอาจเกิดขึ้น และคงอยู่ไปจนชั่วชีวิต ปัญหาความรุนแรงจากการขัดแย้ง ที่มีการใช้อาวุธที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ได้แก่ |
3.1 กลุ่มคนไร้สัญชาติ |
การหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย และการหนีตายของพลเมืองจากประเทศพม่า มายังประเทศไทย มูลนิธิสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ (SHRF) ได้ประมาณการตั้งตัวเลขของผู้อพยพที่เพิ่มสูงกว่าตัวเลขของทางการไทย หลังจากเดือนมีนาคม 2539 อันเป็นปีที่รัฐบาล ทหารพม่า เริ่มนโยบายการอพยพโยกย้ายชาวบ้าน ในตอนกลางวันของรัฐไทใหญ่ มีชาวไทใหญ่ไม่น้อยกว่า 8,000 ถึง 15,000 คน หนีตายเข้ามาในไทย ซึ่ง 47% ของชาวบ้านเหล่านี้มีอายุอยู่ระหว่าง 17 ปีหรือต่ำกว่านั้น และ 45 ปี หรือสูงกว่านั้น ซึ่งชี้ให้เห็นว่า การอพยพดังกล่าว เป็นการหนีมาของทั้งครอบครัว ไม่ใช่การอพยพมาหางานทำแบบปกติ แต่ได้กลายเป็นที่ของอัตลักษณ์ถาวร ของการเป็นแรงงานต่างด้าว ที่ไม่มีสิทธิเข้าถึงสวัสดิการหรือการยอมรับใด ๆ ในสังคม |
รัฐบาลไทยได้จัดศูนย์รับผู้อพยพ 9 แห่ง เพื่อรองรับผู้อพยพรวมทั้งสิ้น 131,217 คน แบ่งเป็นชาย 67,147 คน และหญิง 64,070 คน ซึ่งยังคงมีปัญหาเรื่องการไร้สัญชาติและการขาดสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ อยู่มาก |
3.2 เหตุการณ์ไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ |
เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดมานั้น ได้ส่งผลกระทบต่อสตรีและเด็กอย่างรุนแรง จากการตกเป็นเหยื่อฆาตรกรรม การบาดเจ็บ และการสูญเสียผู้เป็นที่รัก การต้องรับหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัวโดยไม่คาดคิด โดยเฉพาะครอบครัวที่มีสตรีรับหน้าที่เป็นหัวหน้าครอบครัวต้องรับภาระอบรมเลี้ยงดูลูก รวมทั้งต้องประกอบอาชีพเพื่อให้มีรายได้เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในครอบครัว ซึ่งปัญหาเหล่านี้มีผลต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต ของสมาชิกในครอบครัว และบางครอบครัวไม่สามารถประกอบอาชีพอย่างที่เคยทำมาได้ มีผลทำให้ครอบครัวที่ทุกข์ยากอยู่แล้ว มีความลำบากยากจนยิ่งขึ้นไปอีก |
เหตุการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิต และการบาดเจ็บทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชนจำนวนมาก จากรายงานเหตุการณ์ ความไม่สงบของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 ระหว่างปี 2547-2548 ก่อให้เกิดผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวน 1,706 ราย |
ซึ่งผลจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของเด็กและสตรีเป็นอย่างมาก จากข้อมูลกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ ได้ทำการรวบรวมข้อมูลเด็กกำพร้าและสตรีหม้ายจากเหตุการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ข้อมูล ณ วันที่ 18 มกราคม 2550) มีเด็กกำพร้าทั้งบิดามารดา จำนวนทั้งสิ้น 1,425 คน นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดสตรีหม้าย ที่จะต้องรับผิดชอบดูแลครอบครัวจำนวนทั้งสิ้น 743 คน |
ในสถานการณ์ความขัดแย้ง สภาพทางสังคม ศาสนา และวัฒนธรรม มีความละเอียดอ่อน รัฐบาลจึงจำเป็นต้องแก้ไขปัญหา ความรุนแรงในสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยรัฐบาลได้ดำเนินการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ ใน คณะกรรมการอิสระ เพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ อันประกอบไปด้วย กรรมการอิสลามประจำจังหวัด นักวิชาการ นักสันติวิธี ทนายความ ครู พระสงฆ์ องค์กร พัฒนาเอกชน องค์กรประชาธิปไตย และนักธุรกิจ ในจำนวนนี้เป็นผู้หญิง จำนวน 8 คน จาก 49 คน คิดเป็นร้อยละ 16.33 จะเห็นได้ว่าผู้หญิงที่เข้ามามีบทบาทในคณะกรรมการ ส่วนใหญ่ทำงานเกี่ยวกับเด็ก สตรี และเยาวชน โดยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย นักวิชาการ องค์กรพัฒนาเอกชน นักการเมือง สำหรับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้นั้นที่สำคัญคือ เสนอแนะนโยบายมาตรการ กลไก และวิธีการสร้างสมานฉันท์และสันติสุขในสังคมไทยโดยเฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยการสร้างความยุติธรรม ลดความไม่เข้าใจระหว่างกลุ่มคนที่มีความแตกต่างหลากหลายขจัดเงื่อนไข และป้องกันปัญหาความรุนแรง และสร้างความ สามัคคีธรรม ให้เกิดขึ้นในชาติ |
|
|
4. ความก้าวหน้าการยุติความรุนแรงต่อสตรี |
การให้สัตยาบันอนุสัญญาเรื่องการค้ามนุษย์ และการขายมนุษย์ให้เป็นทาสที่ประเทศไทย เป็นภาคีมีหลายฉบับ เช่น อนุสัญญา ว่าด้วยการปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก (ค.ศ.1921) อนุสัญญาเพื่อการปราบปรามการค้าบุคคล และการแสวงประโยชน์ จากการค้าประเวณีของผู้อื่น (ค.ศ.1933) อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏฺบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (ค.ศ.1997) ฯลฯ |
นโยบายและแผนปฏิบัติการ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาธุรกิจบริการทางเพศ พ.ศ.2539 |
คณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2542 เห็นชอบให้เดือนพฤศจิกายน เป็นเดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็ก และสตรี และโครงการริบบิ้นสีขาวที่รณรงค์ให้ผู้ชาย และกลุ่มเป้าหมายมีส่วนร่วมในการขจัดความรุนแรง |
คณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2543 เห็นชอบนโยบายและแผนขจัดความรุนแรงต่อเด็กและสตรี |
นโยบายและแผนขจัดความรุนแรงต่อเด็กและสตรี หรือการให้บริการในรูปแบบศูนย์บริการช่วยเหลือเด็กและสตรี ในภาวะวิกฤตจากความรุนแรง (One Stop Crisis Center:OSCC) ซึ่งเป็นศูนย์ที่จัดตั้งขึ้นในโรงพยาบาล |
กฎหมายที่ต่อต้านความรุนแรงทางเพศ เช่น พ.ร.บ. ป้องกันปราบปรามการค้าประเวณี (พ.ศ.2539) พ.ร.บ. มาตรการในการ ป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก (พ.ศ.2540) |
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 22 พ.ศ.2547 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 ความติดต่อเสรีภาพ |
5. แนวทางการยุติความรุนแรงต่อสตรี |
1. การปรับปรุงกระบวนการยุติธรรม กระบวนการทางกฎหมาย เช่น การเพิ่มโทษ และการฝึกอบรมตำรวจ แพทย์ พยาบาล นักสังคมสงเคราะห์ อัยการ ผู้พิพากษา ให้มีความเข้าใจในเรื่องความรุนแรง เข้าใจปัญหา รวมทั้งวิธีการให้ความยุติธรรม กับผู้ที่ถูกกระทำ |
2. การให้ข้อมูลข้อสนเทศแก่ประชาชนเกี่ยวกับหน่วยงาน ที่จะติดต่อเมื่อมีการกระทำรุนแรง |
3. ดำเนินการให้มีแผนระดับชาติ และกลไกการประสานงาน และดำเนินงานให้ได้ผลแะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน |
4. ส่งเสริมสถาบันครอบครัว โดยให้ความรู้เรื่องครอบครัวศึกษา สิทธิมนุษยชน สิทธิเด็ก วิธีการแก้ความขัดแย้ง โดยไม่ใช้ความรุนแรง และการดำรงชีวิตตามหลักศาสนา เพื่อสร้างความตระหนักในสิทธิของตนเองและผู้อื่น |
5. สนับสนุนให้มีการทำงานจัดการปัญหาด้านความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ในกลุ่มต่าง ๆ เพิ่มขึ้น และเป็นประเด็นที่ทำงาน ให้ต่อเนื่อง ทั้งภาคธุรกิจองค์กรเอกชนอื่น ๆ สื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ และรายการวิทยุ |
|